ใส่คอนแทคเลนส์แล้วมัวๆ เกิดจากอะไร?

คอนแทคเลนส์

คอนแทคเลนส์

สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์แล้วมองอะไรไม่ค่อยชัด ภาพเบลอๆ มัวๆ ทั้งก็เพราะหลายสาเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้ขนะที่คุณใส่คอนแทคเลนส์ โดยส่วนใหญ่แล้วสาเหตุอาจเกิดจาก

  1. การใช้คอนแทคเลนส์เป็นครั้งแรก ซึ่งการใส่เลนส์ครั้งแรกอาจต้องมีการปรับให้ชินกับวัตถุแปลกปลอม จึงอาจทำให้เกิดความมัวได้ โดยเฉพาะเลนส์สีอาจจะทำให้เห็นลายบนเลนส์ได้จากการมองปกติ ซึ่งถ้าใส่จนคุ้นเคยแล้วก็จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
  2. ค่าสายตาไม่ตรงกับเลนส์ โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตายาว อาจมองสิ่งรอบข้างได้เป็นปกติ แต่เมื่อมองผ่านเลนส์อาจทำได้เกิดความมัวได้
  3. การความสะอาดของคอนแทคเลนส์ ไม่ดีเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้มีคลาบสกปรกติดอยู่ที่เลนส์ เมื่อใส่แล้วก็อาจทำให้เกิดความมัวได้
  4. เกิดอาการแพ้คอนแทคเลนส์ หรือ น้ำยาล้างเลนส์ ซึ่งหากใส่แล้วเกิดอาการระคายเคือง มองเห็นมัวและไม่ชัด มีน้ำตาไหลออกมาบ่อยๆ ให้ถอดเลนส์ออกและรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที

กลไก สำหรับผลขาวกระจ่างใสจากกลูต้าแบบฉีด

สีผิวของแต่ละคนมีความคมชัดที่แตกต่างกันไป นั้นเป็นเพราะสาเหตุมากจาก กรรมพันธ์ สภาพแวดล้อม การดูแลรักษาผิวไม่ดี รับประทานอาหารที่ไม่เกิดประโยชน์หรือมีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งผิวที่ขาวเรียบเนียนกระจ่างใสจากการเร่งปฏิกิริยาโดยกลูต้าแบบฉีดนั้นเกิดจากกระบวนการสร้างเมลานิน และเข้าไปยับนั่งเอนไซม์ Tyrosinase พร้อมกับเข้าไปกระตุ้นทำให้เม็ดสิผิวขาวอมชมพูมีมากกว่าเมลานินสีคล้ำ ทำให้ผู้ที่ใช้กลูต้าแบบฉีด ผิวขาวขึ้น ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ ที่เกิดจากสิวและความชราของวัยหรืออายุ

ประโยชน์ที่ได้เมื่อใช้กลูต้าแบบฉีดคือ ลาง สลายสารพิษออกจากร่างกาย, บำบัดรักษาอาการป่วยของปุ้ป่วยโรคมะเร็ง, รักษาโรคไขมันอุดตัน, โรคเบาหวาน, ความผิดปกติของการทำงานของปอด, ช่วยรักษาผู้ชายที่เป็นหมัน, ต้านเชื้อไวรัส และรักษาโรคเอดส์ แต่ระวังผลข้างคียงที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายได้ เช่น ผื่น ผิวหนังแดง ความดันเลือดต่ำ, อาการหอบ, ทำให้ร่างกายมีสีผิวที่ขาวกระจ่างจริง ซึ่งผ้ป่วยที่เแพ้ยา,ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะมา, มีอาการหอบหืด ไม่ควรรับประทานหรือใช้กลูต้าไธอนชนิดฉีดทั้งการรักษาโรคหรือการเร่งสีผิว

สาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ต้องการสีผิวที่ขาวกระจ่างใสเลือกใช้กลูต้าแบบฉีดมากกว่าแบบรับประทาน นั้นเป็นเพราะสารสามารถซึมเข้าสู่กระบวนการทำงานของระบบร่างกายได้โดยตรงไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของกลไกการย่อยอาหาร ทำให้สารพิษออกฤทธิ์ได้รวดเร็ว และเห็นผลชัดเจน

ความแตกต่างของการร้อยไหมยกกระชับที่นิยมในปัจจุบัน

สำหรับสาวๆ ผู้รักความสวยงามแล้ว คงรู้จักการร้อยไหมยกกระชับ ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการร้อยไหมละลาย ไหมทอง ซึ่งหลายคนอาจสงสัยเกี่ยวกับความแตกต่างของการร้อยไหมยกกระชับ แต่ละชนิด ว่าจะช่วยให้สวยขึ้นได้อย่างไร และมีวิธีการแบบไหน รวมถึงข้อควรระวังต่างๆ ที่ควรรู้ก่อนเลือกรับบริการ

หลักการที่จะไปช่วยกระชับและฟื้นฟูของไหม นั่นก็คือการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบนั่นเอง ลองนึกถึงตอนที่เราโดนมีดบาดและเกิดการอักเสบขึ้น ผิวหนังจะเกิดกระบวนการรักษาตัวเองกระตุ้นให้เกิดการซ่อม สร้าง เพื่อปิดแผลและลดการอักเสบ การร้อยไหมก็เช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันการร้อยไหมยกกระชับ ที่นิยมกันมีอยู่ 3 แบบ คือ

  • Aptos เป็นการร้อยไหมรุ่นแรกๆ ที่นิยมมากในอดีต เป็นไหมที่ไม่สามารถละลายได้ มีลักษณะเป็นฟันปลา คิดค้นและพัฒนาโดยศัลยแพทย์ชาวรัสเซีย ที่ดัดแปลงการใช้ประโยชน์ของไหมเย็บแผล โดยคิดค้นและออกแบบให้มีลักษณะเหมือนฟันปลา สำหรับการเกี่ยวดึงผิวหนังให้ยกกระชับขึ้น จึงเหมาะสหรับการดึงผิวหน้าเฉพาะส่วน เช่น หางคิ้ว ร่องแก้ม เป็นต้น
  • ไหมทอง (Gold Thread) เป็นการนำไหมที่ทำด้วยทองคำที่มีความบริสุทธิ์ ขนาดประมาณเส้นผม ร้อยเป็นลักษณะโครงตาข่ายในชั้นผิวหนัง โดยทองคำจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายมีการไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น และมีการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ แต่เพราะด้ายทองไม่มีปม หรือแง่งใดๆ จึงไม่มีผลในแง่ของ Mechanic Lifting มากนัก จึงต้องรอผลจากการกระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซม จะเริ่มเห็นผลเมื่อ 1 เดือนเป็นต้นไป ข้อเสียของไหมทองคำคือราคาสูงมาก
  • ไหมละลาย PDO (Polydioxanone) ประยุกต์จากไหมละลายที่ใช้ในการเย็บผนังเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีผลปฏิกิริยาต่อผิวหนัง และจะละลายไปภายใน 6-8เดือน นอกจากจะเห็นผลทันทีหลังทำแล้ว ยังพบผลดีต่อเนื่องได้อีก คือขณะที่ไหมละลายอยู่ใต้ผิวหนัง จะกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนรอบๆ เส้นไหม จึงเกิดการยกกระชับมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหน้าจะยิ่งดีขึ้น กระชับขึ้นเรื่อยๆ และได้ผลต่อเนื่องนานถึง 12-18 เดือน

การดูดไขมันด้วยวิธีการต่างๆ

ดูดไขมัน

ดูดไขมัน

การดูดไขมันมาตรฐานเราใช้เดรื่องมือที่จะดูด เป็นตัวทำให้ไขมันแตกและดูดออกมาโดยอาศัยระบบ
สูญญากาศ (negative pressure) ซึ่ง ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นเครื่องมือใหม่ ที่จะช่วยให้ไขมันแตกตัวก่อนทำให้การดูดไขมันง่ายขึ้น ทำให้แพทยทำงานได้สะดวกขึ้น ได้แก่

  •  การใช้แรงดันน้ำ
  • การใช้เลเซอร์
  • การใช้ คลื่นเสียงความถี่สูง

ปัจจุบันนี้การใช้คลื่นความถี่สูงได้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นมาก ทำให้สามารถช่วยการดูดไขมันได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ ที่กล่าวมา ส่วนการใช้แรงดันน้ำนั้นจะอาศัยหลักการฉีดน้ำปริมาณมาก เพื่อช่วยให้ผิวหนังชาและไขมันอ่อนตัว แต่หลังผ่าตัด อาจมีน้ำเกลือหรือไขมันที่ตกค้างอยู่ค่อยๆ ระบายออกมาหลังการผ่าตัดได้

การป้องกันไรฝุ่นโดยการใช้ผ้าปิดจมูก

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเจ้าไรฝุ่นกันก่อนเลย ไรฝุ่น เป็นสัตว์ใกล้เคียงกับแมลงมุม มีแปดขา ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไรฝุ่นพบมากในที่มีความชื้นสูง สามารถแพร่พันธ์บนพื้น อาจจะอยู่รวมกับสะเก็ดรังแคสัตว์ เชื้อรา พบร่วมกับฝุ่นที่มาจากเสื่อ หมอน พรม ผ้าคลุมเตียง เสื้อผ้า ม่าน ตุ๊กตา เป็นต้น

การทำความสะอาดบ้านกวาดถูกทุกวันก็ไม่สามารถกำจัดไรฝุ่นได้หมด แต่การทำความสะอาดหรือการป้องกันก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด ควรมีการป้องกันเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าปิดจมูก การใช้เครื่องกรองอากาศในบ้าน หรือแม้กระทั่งการหมั่นทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ ก็สามารถช่วยป้องกันเจ้าไรฝุ่นได้เช่นกัน

วิธีป้องกันไรฝุ่นสามารถทำได้ ดังนี้

  • ควรเลือกอุปกรณ์ที่ทำจากไม้ พลาสติก ใช้มู่ลี่แทนผ้าม่าน
  • ไม่ควรใช้ผ้าห่มหรือที่นอนที่ทำจากขนสัตว์
  • หุ้มหมอน เตียง เสื่อ ด้วยผ้าคลุมป้องกันไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ เล็ดรอดผ่านไปได้
  • ซักปลอกหมอน ผ้าคลุมเตียงทุกสัปดาห์ โดยใช้น้ำร้อนมากกว่า 60 องศา และรีดผ้าปูที่นอนร้อนๆ เพื่อฆ่าไรฝุ่น
  • การลดความชื้นของห้องหรือรอบๆ บริเวณบ้านให้น้อยที่สุด
  • ไม่ควรนำพรหมไว้ภายในห้องนอน
  • ไม่ควรนำตุ๊กตาไว้ในห้องนอน หรือควรซักตุ๊กตาทุกอาทิตย์ด้วยน้ำร้อน
  • ควรถูพื้นห้องอย่างน้อยวันละครั้ง และไม่ควรใช้ผ้าแห้งถูเพราะมีไรฝุ่นติดอยู่
  • ควรทำการดูดฝุ่นภายในห้องทุกสัปดาห์
  • การใช้เครื่องกรองอากาศอาจจะช่วยลดปริมาณไรฝุ่นได้บ้าง หรือการสวมผ้าปิดจมูกขณะทำความสะอาดกำจัดไรฝุ่นตามวิธีดังกล่าวข้างต้นด้วย

สารก่อให้เกิดผิวหนังอักเสบและการป้องกัน

ในโลกเรามีสารหลากหลายตัวที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังของมนุษย์ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนังที่ตอนนี้มีผู้ป่วยที่เป็นโรคผิวหนังโดยสาเหตุเกิดจากสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวเมื่อสัมผัสโดยตรง ดังนี้

  • กรด ทั้งในรูปสารละลายเช่นน้ำส้มสายชู
  • ด่าง ในน้ำยาทำความสะอาดพื้นห้อง ห้องน้ำ สารส้ม
  • ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาฟอกขาว รวมทั้งสารทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มจำพวกสูตรไฮโดรเจนสูตรออกซี่ทั้งหลาย
  • สบู่ สารทำความสะอาด
  • สารเคมีพวกผสมสูตรน้ำมัน เบนซิน ฟอร์มาลิน ยาแดง ด่างทับทิม
  • สารจากพืชธรรมชาติ เช่น ยางมะละกอ ยางมะม่วง สับปะรด กระเทียม แตงกวา ส้ม มะนาว
  • สารจากสัตว์ เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ น้ำย่อย ขนสัตว์

ซึ่งหากผู้ที่ต้องสัมผัสสารเหล่านี้เป็นเวลานานขึ้นเรื่อย ก็จะทำให้ยิ่งมีอาการที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงสารและทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสเพื่อกำจัดหรือลดปริมาณความเข้มข้นของต้นเหตุลงเพื่อกำจัดสาเหตุของโรค

การป้องกันผิวหนังจากสาร

  • การป้องกันที่ดีที่สุดคือ ห้ามสัมผัสกับสารที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง หรือควรมีการป้องกันโดยการสวมถุงมือยาง เพียงเท่านี้อาการต่างๆก็จะลดลง และควรที่จะดูแลรักษาให้ถูกวิธีด้วย
  • การแพ้ต่อสารจำพวกโลหะ เครื่องสำอาง ยาทาภายนอก เครื่องนุ่งห่ม ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง แต่หากต้องสัมผัสกับสารเพราะเป็นอาชีพ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานในโรงงานอุตสาหกรรม คุณควรหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์มาช่วยปกป้องร่างกายระหว่างทำงาน เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง รองเท้าบูท หรือชุดทำงานที่สามารถป้องกันสารที่เป็นอันตรายได้ โดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคุณได้น้อยที่สุด

ของดีสำสำหรับเครื่องสลายนิ่ว ESWL

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมมนุษย์หรือสัตว์โลกทุกชนิดต้องมีปัญหาเรื่องสุขภาพ นั้นเป็นเพราะสาเหตุมาจากการดำเนินชีวิต สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่กระทั้งการรับประทานอาหาร ที่มองดูแล้วมีคุณค่าต่อระบบการทำงานภายในร่างกาย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าสารอาหารบางชนิดเป็นต้นกำเนิดของโรคภัยที่เข้ามาเยือนสุขภาพร่างกายของท่าน โรคนิ่วที่เกิดขึ้นตามส่วนอวัยวะภายในร่างกายก็เช่นเดียวกัน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานสารอาหารต้องห้ามที่ก่อให้เกิดการสะสม หรือตกผลึกเป็นก้อนนิ่วได้ จำเป็นต้องได้รับการสลายนิ่วให้เร็วและดีที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วซ้ำได้ แต่ทางการแพทย์เองก็ไม่การันตีได้ว่าขั้นตอนไหนทีสามารถสลายนิ่วได้ดีที่สุด เว้นเสียแต่ว่ามีเครื่องมือที่เรียกกว่า  ESWL เพื่อมอมความสะดวกสบายให้กับแพทย์และผู้ป่วยเอง เช่น

  • ผู้ป่วยที่ได้รับการสลายนิ่วด้วย ESWL ไม่จำเป็นต้องเสียเลือด หรือเจ็บตัว เนื่องจากเครื่องจำทำการส่งคลื่นความถี่สูงส่งผ่านชั้นผิวหนังลงมากระทบกับก้อนนิ้วให้ร้าวจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ปะปนออกมากับน้ำปัสสาวะ ซึ่งในช่วงระยะ 2-3 วันหลังอาจมีเลือดหรือมีน้ำปัสสาวะสีเข้มคล้ายน้ำล้างเนื้อ
  • ไม่ต้องดมยาสลบ
  • หากผ่านขั้นตอนการส่งความถี่หรือสลายนิ่วเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสามารถกลับไปพักฝื้นที่บ้านได้

แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการปฏิบัติตนตามคำแนะนำต่างๆของแพทย์ผู้รักษาอย่างเคร่งครัด รับประทานยาและเข้ารับการตรวจเช็คร่างกายเพื่อตรวจหาก้อนนิ่วป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำ ซึ่งหากตรวจพบแพทย์ต้องนัดมาสลายนิ่วต่อ โดยผู้ป่วยสามารถสลายนิ่วได้ไม่เกิด 3 ครั้งต่อนิ่วที่เกิดขึ้น

 

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โอกาสเสี่ยงและการดูแลรักษา

ปัญหากวนใจที่ตรวจพบได้มากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นและอยู่ใกล้กับรูทวาร ทำให้การการฝักตัวของเชื้อแบคทีเรียดีกว่าผู้ชาย โดยจะสามารถตรวจพบได้ทุกช่วงอายุ อีกทั้งผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 2-3 เดือนแรก และผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบขึ้นได้คือ

  1. ผู้ที่ปัสสาวะกระปริดกระปรอย
  2. ผู้ที่ดื่มน้ำในปริมาณน้อยๆ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
  3. การรักษาความสะอาด โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายอุจจาระไม่ควรช็ดจากด้านหลังมาด้านหน้า
  4. การฟกช้ำหลังการมีเพศสัมพันธ์

การดูแลรักษาหากตรวจพบหรือถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

  • รับประทานยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่ง
  • เข้าพบแพทย์เพื่อตรวจสภาพร่างกายทุกครั้ง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งแต่ละวันไม่ควรน้อยกว่า 2 ลิตร ซึ่งผู้ที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจำเป็นต้องดื่มน้ำให้มากกว่านี้
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • เข้าห้องน้ำให้ถูกสุขลักษณะ

วิธีการดูแลและการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงโรคนิ่วในไตไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวท่าน

  • เข้ารับฟังหรือหาข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
  • รับประทานยาที่ทางแพทย์จัดให้อย่างครบถ้วน
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยสองลิตรต่อวัน เพื่อให้ระบบการขับปัสสาวะเป็นไปอย่างปกติ พร้อมทั้งเจือจางสารที่ก่อให้นิ่วในไต
  • ไม่กลั่นปัสสาวะ
  • ควรออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ
  • งดรับประทานอาหารที่มีสารออกซาเลต กรดยูริก สูง
  • ควบคุมอาหารที่มีวิตามินซีและดี ให้อยู่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันเท่านั้น
  • ควรหมั่นสังเกตอาการ สีของน้ำปัสสาวะซึ่งอาจมีสีที่ขุ่น หรือเลือดปะปนมากับน้ำปัสสาวะ

ซึ่งอาการของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในไตได้แก่

  • ปวดหลัง
  • ปัสสาวะมีสีขุน หรือเลือดปะปะมาด้วย
  • อาจมีก้อนกรวดหรือก่อนนิ่วผสมออกมากับน้ำปัสสาวะ เพื่อมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคนิ่วในไตประมาณร้อยละ 80 ก้อนนิ่วสามารถแตกและหลุดออกมาไดเองทางปัสสาวะ หากเป็นก้อนใหญ่ต้องผ่านขั้นตอนการสลายนิ่วตามกรรมวิธีทางแพทย์ บางรายอาจป่วย มีไข้ขึ้น อาเจียน ร่วมด้วย

กินอย่างไรให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ

การเลือกรับประทานอาหารแต่ละประเภทและเลือกการทานให้ครบ 5 หมู่ให้เพียงพอต่อวันนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องให้ความ
เอาใจใส่เป็นอย่างมาก เพราะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย นอกจากการเลือกรับประทาน
อาหารที่มีประโยชน์แล้ว ควรทราบถึงเคล็ดรับการรับประทานอาหารแต่ละประเภทเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของคุณ มีดังนี้

  1. ขนมปังปี๊บ ของกินเล่นอย่างๆ ที่มีกระบวนการผลิตไม่ค่อยดีนัก ซึ่งอาจไม่ใช้ไส้ขนมที่ทำจากวัสถุดิบโดยตรง มีการผสมและมีการแต่งกลิ่นให้มีความเหมือน เช่น ใส้สับปะรด เป็นต้น
  2. เชอรี่ราคาถูกที่นิยมนำมาแต่งบนขนมเค้ก ซึ่งอาจทำมาจากมะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง
  3. ซูชิตามตลาดนัด หารู้ไม่ว่ามีแบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็วในอากาศร้อนๆ
  4. เอแคลร์กับลูกชุบ ต้องคำนึกเรื่องสุขอนามัยด้วย
  5. ลูกอม ควรเลือกทานลูกอมสีแดง ขาว
  6. โยเกริ์ตต่างๆจะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็ก ๆ
  7. น้ำปลา ที่เปิดขวดแล้วควรใช้ไม่เกิน 1 เดือน
  8. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้ว เช่น น้ำอัดลม น้ำหวานต่างๆ
  9. ฟองน้ำล้างจาน ควรล้างฟองน้ำให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน
  10. อาหารกระป๋อง ถ้ากินไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องและใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น